เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เรามาวัดนะ มาวัด เห็นไหม เรามาสร้างความดี แต่ความดีของใคร? ถ้าความดีของใจ นี่เวลาเอาบุหรี่มาให้ เอาของมาให้นะเป็นยาเสพติด โลกมองว่าเป็นยาเสพติด เพราะว่ายาเสพติดมันเป็นที่รังเกียจ แต่โลกไม่คิดเลยว่ากิเลสมันเสพติดใจ ยาเสพติดของหัวใจมันไม่ได้คิด ถ้าหัวใจมันเสพติดนะ เสพติดความคิดที่มันหมักหมม ความคิดที่มันให้โทษกับตัวเอง แต่ความคิดที่ดีมันอยู่ที่ไหนล่ะ?
ถ้าความคิดที่ดี นี่ถ้าเป็นยาเสพติดทางโลก เห็นไหม เขารู้ว่าเป็นยาเสพติดนะ เขาหลีกเลี่ยงมัน เขาไม่ใช้มันเพราะว่ามันให้โทษ แต่ความคิดเราให้โทษเรา เราไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่ความคิดเราให้โทษ ไปโทษแต่ข้างนอกกัน
นี่สิ่งที่เป็นยาเสพติดนะ มันเสพติดๆ อาหารก็เสพติดนะ กินอยู่นี่เสพติด เพราะอะไร? เพราะกินแล้วมันอยากกิน กินแล้วมันเคย มันอยากกิน มันเสพติด ถ้ามันเสพติดคือกิเลสมันเสพติดไง แต่ถ้าไม่เสพติดมันล่ะ? ถ้าไม่เสพติดมัน เห็นไหม สิ่งนี้มันดำรงชีวิต ถ้าเรามีสติ มีปัญญามันจะเข้าใจเรื่องสภาวะแบบนั้น
อันนี้เรื่องจากการประพฤติปฏิบัติของเรา เรามองกันแต่ข้างนอก ไม่ได้มองข้างใน ถ้ามองข้างในขึ้นมาปั๊บเราจะทำของเราขึ้นมา เราจะฝืนเราขึ้นมา ถ้าข้างในมันดีไปแล้วนะ มันเสพติดไม่ติดเรารู้เอง ถ้าอะไรเป็นโทษกับร่างกาย อะไรทำแล้วมันไม่ดีเราจะไม่ทำมัน หรือทำมันนี่เหตุจำเป็นมันมีนะ คนเราวิกฤติของชีวิตมันมี วิกฤติจำเป็นขึ้นมา เราต้องผ่านวิกฤติอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? เพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อทำคุณงามความดี
รักษาชีวิตนี้ไว้นะ ไม่ใช่ว่าพิจารณาไป เห็นไหม ถ้าเห็นว่าสิ่งนี้มันไม่ดีทำไมไม่ทุบทำลายทิ้ง ก็เหมือนกับเครื่องใช้ไม้สอยนี่ ตระกูลใดที่รู้จักกระเหม็ดกระแหม่ รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักซ่อมบำรุงรักษา ตระกูลนั้นจะไม่เสื่อมจากความรุ่งเรืองเลย แต่ถ้าตระกูลใดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักบำรุงรักษา
บำรุงรักษา ของใช้ของสอยนี่บำรุงรักษา นี่อยู่ในนวโกวาทนะ ขนาดธรรมของคฤหัสถ์เขายังทำได้ขนาดนั้น แล้วธรรมของนักปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิสติเราจะสร้างขึ้นมามันเป็นนามธรรม สิ่งวัตถุใช้สอยของเขา เวลาเสียเขาซ่อมบำรุงรักษาของเขา เขายังต้องบำรุงรักษาขึ้นมาเพื่อใช้สอย แล้วมีสติขึ้นมานี่จะบำรุงรักษาอย่างไร? สติจะบำรุงรักษาอย่างไร? ปัญญาจะบำรุงรักษาอย่างไร? ความสงบสงัดจะบำรุงรักษาอย่างไร?
ความสงบสงัดของเรานะ เรานั่งอยู่ นี่ใครมาวัดใหม่ๆ โอ้โฮ.. ที่นี่สงบมากเลย แต่ไอ้คนพูดมันทำให้ไม่สงบ ไอ้คนพูดนั้นเสียงดังมาก โอ้โฮ.. ที่นั่นดีมากเลย ที่นั่นดีมากเลย ไอ้คนพูดนี่ไม่ดี ถ้าข้างนอกมันดีมาก ถ้าเราสงบ เรานิ่งของเรา มันสงบทั้งข้างนอกข้างใน เห็นไหม ใครมาก็เสียงดังมาก ใครมาทุกคนต้อง โอ้โฮ.. ดีมากๆ ไอ้คนฟังหูมันจะระเบิด
คำว่าดีมากคือตัวเองพอใจ พอความพอใจ ด้วยความพอใจของตัว พูดด้วยความซึ้งใจ ความซึ้งใจมันไม่ได้ระวังนี่ขาดแล้ว สติขาดแล้ว อู๋ย.. ดีมาก ดีมาก ไม่ดีไอ้คนพูดนั่นแหละ ถ้าไอ้คนพูดอยู่เฉยๆ จะดีจริงๆ ถ้าเขาเห็นว่าดีมากปั๊บ ไอ้คนพูดเฉยๆ ด้วย อ๋อ.. ดี ดีเพราะอะไร? ดีเพราะเราก็ไม่กวนเขาด้วย ดีเพราะเราไม่สร้างปัญหาด้วย ถ้าเราสร้างปัญหาของเราเอง อู๋ย.. ดีมาก ดีมาก ไอ้คนที่ดีมากจะไปกวนคนอื่น จะไปทำลายคนอื่น เพราะการกระทำของเขามันทำให้ไม่สงัด
ไอ้การกระทำของเขา ไอ้การที่ว่าดีมาก ดีมากนั่นแหละ ทำให้เขาเสียหายหมดเลย เพราะดีมากไง ทำดีแล้วจะไม่เป็นโทษไง ทำดีแล้วนี่ เราทำดีแล้ว โอ้โฮ.. ดีมากเลย สิ่งที่ดี ทำดีแล้วจะไม่เป็นโทษเลย โทษทั้งนั้น โทษทั้งนั้นเลย แต่ถ้าดีมาก เราทำของเราด้วยสติสัมปชัญญะ เราจะไม่กระทบกระเทือนใคร เราจะทำด้วยปัญญาของเรา เราจะไม่กระทบกระเทือนใคร เพราะเราขยับของเราด้วยสติสัมปชัญญะของเรา เราขยับของเราไป เห็นไหม
มนุษย์นะเป็นสัตว์สังคม การอยู่ ๒ คนขึ้นไปต้องกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา แม้แต่ลิ้นกับฟันในปากเรามันยังขบกันเองเลย แล้วการอยู่ด้วยกันมันจะไม่กระทบกระเทือนกันมันเป็นไปไม่ได้ แต่มันต้องใช้สตินะ ต้องใช้สัมปชัญญะ อกเขาอกเรา เราต้องการความสงบ เขาก็ต้องการความสงบ เวลาเรานั่งเราอยากมีความสงบมาก แต่เราบอกนี้สงบมาก ไปพูดให้คนอื่นฟังว่าสงบมาก เอ็งอ้าปากก็ผิดแล้ว เอ็งอ้าปากว่าสงบก็ทำลายความสงบของคนอื่นแล้ว
ถ้าสงบแล้วเรากระซิบกัน เราต้องการสิ่งนี้ เขาก็ต้องการสิ่งนี้ เราต้องการความสงบ เขาก็ต้องการความสงบ เราต้องการความวิเวก เขาก็ต้องการความวิเวก นี่ความต้องการ เห็นไหม ไม่ให้เกิดยาพิษ ถ้าเป็นยาพิษมันทำลายเรานะ มันทำลายด้วยความที่เราไม่เข้าใจเราเอง มันทำลายเราก่อน แต่เราไม่รู้ว่าทำลายเราเพราะมันเป็นเรา กิเลสเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา
ดูสิเราจะทำร้ายตัวเองไหม? เราคิดว่าเราไม่ทำร้ายตัวเองนะ ทุกคนที่ทำร้ายตัวเองคนนั้นเสียสติ ใครทำร้ายตัวเองคนนั้นเป็นคนไม่มีสตินะ ไม่ทำร้ายตัวเอง แต่กิเลสมันทำอยู่ไม่รู้ตัว มันทำอยู่นะ นี่หายใจเข้า หายใจออก หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เห็นไหม สมบัติเกิดจากตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะมันเกิดสติขึ้นมา อันนี้หายใจทิ้งเปล่าๆ โอ๋ย.. เหนื่อยมากแล้ว มันทำเหนื่อยแล้ว เราไม่ไหวแล้ว เราล้าแล้ว มันคิดของมันไปนะ มันคิดของมันไป
งานมันคืองาน งานของกาย เห็นไหม นี่อาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ถ้าเราเดินจงกรมอาบเหงื่อต่างน้ำเหมือนกัน แต่อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อความสงบสงัด อาบเหงื่อต่างน้ำนะ ถ้าเราไม่อาบเหงื่อต่างน้ำ มันนอนอยู่ ดูสิมันนอนซุกอยู่ในก้นบึ้งของใจ ถ้าเราไม่ค้นมันขึ้นมา เราไม่แสวงหามันขึ้นมา มันจะขึ้นมาหาเราได้ไหม? มันอยู่ภายใน
ดูสิความสกปรกภายนอกเรารักษาได้ เราทำความสะอาดได้ แต่ความสกปรกจากภายในเราต้องเปิด ต้องแก้ไขออกมา แล้วความขัดข้องหมองใจในหัวใจ นี่กิเลส เห็นไหม สิ่งที่ว่ากิเลสๆ มันอยู่กับเรา มันเป็นหอกข้างแคร่ มันทิ่มตำเรานะ เป็นหอกข้างแคร่อยู่กับเรา แต่หอกข้างแคร่ ถ้าเราไปเจอวิกฤติขึ้นมา หอกข้างแคร่นี่ใช้ประโยชน์ได้นะ เราไปเจอศัตรูขึ้นมา หอกดาบเรานี่เราเอาตัวเรารอดได้ หอกดาบใช้ประโยชน์ป้องกันชีวิตได้
นี่ก็เหมือนกัน สติปัญญาที่มันเป็นธรรม สติปัญญาที่เป็นธรรม ถ้ามีสติใช้ คนมีปัญญาใช้ หอกดาบนั้นใช้เป็นประโยชน์ แต่ถ้ากิเลสใช้ หอกดาบนี่หยิบแล้วหล่นใส่เท้ามันยังพุ่งใส่เท้าเลย นี่มีดทำหล่นใส่ตัวเอง มีดบาดตัวเอง เห็นไหม มันยังทำได้เลย แล้วถ้ามันเป็นความคิดมันลึกกว่านั้น มันละเอียดกว่านั้น ถึงต้องตั้งสติอย่าประมาท
เราทำกันด้วยความประมาทนะ เราไปเห็นสมบัติของคนอื่น เห็นไหม นี่โลกนี้สงบมาก โลกนี้ร่มเย็นมาก โลกนี้ใครทำ? โลกนี้คือสังคมเขาทำมา เอ็งทำอะไร? เอ็งว่าร่มเย็นๆ เอ็งร่มเย็นหรือยัง? เอ็งได้ตั้งสติของเอ็งหรือยัง? เอ็งได้แสวงหาของเอ็งหรือยัง? เอ็งยังไม่แสวงหาของเอ็ง เอ็งยังไม่ได้ทำอะไรของเอ็งเป็นสมบัติส่วนเราเลย เพราะอะไร? เพราะเราไม่รู้จักความสงบไง
ถ้าเรารู้จักความสงบ รู้จักความสงัด เราจะเกรงใจคนอื่น ถ้าเรายังไม่รู้จักความสงบสงัด ธรรมดาๆ ใครเข้ามาก็เป็นธรรมดาทั้งนั้นแหละ ธรรมดาเพราะมันพอใจ ธรรมดาเพราะมันไม่ยอมจับตนเองให้อยู่ในอันสมควร มันออกไปอยู่ข้างนอก มันส่งออก มันรับรู้ออก รับรู้ออกแล้วรับรู้ด้วยความคิด
จิต อาการของจิต.. จิตคือพลังงาน อาการของจิตคือความคิด ความคิดไม่ใช่เรา ความคิดมันเกิดดับ แล้วอาการของจิต ถ้ามันหลงเข้ามาในตัวของมันเอง มันมีกำลังของมันเอง เวลาคิดมันคิดรุนแรง เห็นไหม แต่ถ้ามีสติมันคิดเหมือนกัน แต่คิดด้วยสติสัมปชัญญะ คิดเห็นคุณ เห็นโทษ คิดเห็นการแยกแยะ แยกแยะว่าควรและไม่ควร
นี่มันมีสติสัมปชัญญะไป พอมีสติสัมปชัญญะไปมันก็รู้จักคุณรู้จักโทษ มันก็ไม่ประมาท แต่ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะเราประมาทนะ เราประมาทกับกาลเวลาของเรา เราประมาททุกๆ อย่างเลย เราประมาท เห็นไหม แต่มันว่ามันไม่ประมาท นี่มันสำคัญตรงนี้! มันสำคัญว่ามันไม่ประมาท เราทำดีทั้งหมดเลย ทำไมคนอื่นเขาว่าเราทำแต่ความเสียหาย ทำไมคนอื่นเขาติเตียนเรา
นี่ถึงว่าถ้าเราเห็นโทษของเราเองนะ เราจะขอบคุณเขาเลย เราเห็นโทษของเรานะ ดูสิอยู่เฉยๆ ก็ผิด เพราะอยู่เฉยๆ เวลามันสิ้นไปนะ กาลเวลาหมดไปนะ อยู่เฉยๆ ทุกคนตายหมดนะ บอกอยู่เฉยๆ เราอยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ หายใจเข้า หายใจออก อยู่เฉยๆ เราตั้งสติขึ้นมา การมีสติอยู่ แม้แต่วินาทีเดียว ดีกว่าคนอื่นขาดสติเป็น ๑๐๐ ปี วินาทีเดียว มีสติปั๊บ ของสมบัติเราจะมีค่าหมดเลย แต่ถ้าเราไม่มีสติ พวกของสมบัติให้โทษเราหมดเลย
ดูสิสมบัติเรา แก้ว แหวน เงิน ทอง ใส่กับเนื้อกับตัวไว้ ออกไปข้างนอกเป็นโทษนะ เขาจี้ เขาปล้น เพราะเราใช้ของเราไม่เป็น แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะทำไมเราต้องไปอวดเขา ของนี้เป็นประโยชน์ของเรา เราเก็บของเรา เรารักษาของเราไว้ ถึงเวลาจะใช้ประโยชน์เราก็ใช้ประโยชน์ของเรา เห็นไหม ถ้ามีสติซะอย่างเดียว ความคิดมันจะไม่เสียหายเลย มีสติแล้วพอมันเห็นโทษ เห็นคุณ นี่มันมีคุณค่า ชีวิตเรามีคุณค่าขึ้นมา
ชีวิตมีคุณค่า มีคุณค่าที่ไหน? มีคุณค่าที่คุณธรรมไง มีคุณค่าที่ความคิดดีไง ถ้าความคิดดีมันจะไม่ทำลายสิ่งต่างๆ นี้เสียหายเลย แต่ถ้าความคิดเราไม่ดี เห็นไหม เราคิดว่าดี แต่มันไม่ดีเพราะอะไร? เพราะกิเลสมันครอบงำอยู่ กิเลสมันครอบงำเราต้องแก้ไข ต้องดัดแปลงของเรา
ถ้าดัดแปลงของเรานะ ไม่ต้องให้คนอื่นสอน พ่อแม่ก็ไม่ต้องสอน ครูบาอาจารย์ก็ไม่ต้องสอน มันรู้เอง เห็นไหม ดูสิเวลาพระสารีบุตรบรรลุธรรมขึ้นมาแล้ว ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อใครเลย เพราะความดีเรารู้เอง ร้อนก็ต้องรู้ว่าร้อน เย็นก็ต้องรู้ว่าเย็น สุขก็ต้องรู้ว่าสุข ทุกข์ก็ต้องรู้ว่าทุกข์ เรารู้ของเราเอง มันจะต้องให้ใครมารับประกัน แต่ก่อนที่จะรู้เองมันรู้ไม่ได้ มันรู้ไม่ได้เพราะว่าไอ้กิเลสมันบังไว้
นี่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ แล้วไปให้ครูบาอาจารย์หลอกกินนะ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ก็ทำตามกันไป มันเป็นวิปัสสนึก มันก็ว่างๆ กันไปอย่างนั้นแหละ ว่างๆ ไปตามสามัญสำนึก ว่างๆ โดยธรรมชาติของมัน ไม่มีครูบาอาจารย์ เราเข้าห้องแอร์นะมันก็เย็นของมันได้ ถ้ามันคิดดีมันก็อยู่ของมัน คิดดีเฉยๆ ความคิดดี ความคิดชั่วมันเป็นความคิดเป็นอาการ ไม่ใช่ตัวใจ
ฟังสิ อาการของใจมันเป็นที่เงา ถ้าเงามันร้อน เงามันเย็น ดูสิเราไปยืนอยู่ในที่เงา แล้วเขาเอาของมาเหยียบย่ำเงา เรามีความเจ็บปวดไหม? แต่ทิฐิมานะมันก็ไม่ยอม มองหน้ากันยังไม่ยอมเลย อย่าว่าแต่เหยียบเงากันเลย เห็นไหม แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา อาการของจิตๆ ความคิดมันไม่ใช่จิต ความว่างอันนั้นมันเป็นความว่างมาจากข้างนอก มันเป็นความว่างที่ความคิด ความคิดมันปล่อยมันก็ว่าง ความคิดที่มันคิดมันก็ทุกข์ เวลามันปล่อยทีหนึ่งเดี๋ยวก็คิดอีก เพราะมันจำกัดไม่ได้
แต่ถ้าเราทำความสงบเข้ามา สิ่งต่างๆ ความว่าง ความคิดนี่เราควบคุมความคิดได้ เราควบคุมความคิดได้ แล้วความว่างมันไปไหนล่ะ? เราควบคุมความคิดได้ เราไม่ให้ความคิดมันให้คุณให้โทษเรา ความว่างมันไปไหน? ความว่างมันจะเข้ามาจากภายใน เห็นไหม ถ้าเรารักษาเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเรารักษาดีแล้วสมาธิมันจะเสื่อมไปไหน? การกระทำมันไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร?
กินข้าวเข้าไปในปาก มันจะไม่ลงไปท้องได้อย่างไร? ในเมื่อกินข้าวจากปากไปท้อง แต่นี้มันกินข้าวขึ้นมา มันไม่กินข้าว มันไปกินกระดูก ไปกินก้าง กินต่างๆ มันกินต้องมีปัญญานะ เขากินเนื้อ สิ่งที่เป็นโทษเขาเขี่ยออก เขาไม่กินหรอก แต่ถ้ากินเข้าไปมันเสียหายหมด เห็นไหม เราต้องมีปัญญา
ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดมันมีก้าง ก้างมันติดคอ ติดหัวใจ ก้างสิ่งใด สิ่งที่มันทิ่มใจนี่ก้างมันทิ่มไปตลอดเวลา แต่เนื้อไม่กินกินแต่ก้าง กินแต่ก้างมันพอใจ เห็นไหม มันพอใจ กิเลสมันพอใจ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราคิดเข้าไปเราไปทำลายก้างอันนั้น ทำลายก้างอันนั้นมันจะเข้าถึงความสงบจริง แล้วถ้าเป็นความสงบจริง เรารู้ของเราจริง มันไม่ต้องไปถามใครเลย ความจริงมันเป็นความจริง
ถ้าไปถามใครอยู่นั้น เพราะคำว่าถามมันต้องสงสัย แต่สงสัยลึกๆ แต่ตัวเองเข้าใจว่าเป็นความถูกต้อง แต่ความจริงมันยังสงสัยอยู่ แต่ถ้าเป็นสันทิฏฐิโกมันจะไม่สงสัยสิ่งใดเลย เราล้างมือสะอาดขึ้นมาแล้วจะไปถามใคร? มันไม่มีกลิ่นใดๆ เลยมันจะถามใคร? แต่นี้มันมีกลิ่นเหม็นไปหมดเลย นี่ถามว่าหมดกลิ่นหรือยัง? ก็มันเหม็นโฉ่อยู่นั่นมันจะหมดกลิ่นได้อย่างไร? ความคิดมันยังเหยียบย่ำใจอยู่อย่างนั้นมันจะหมดกลิ่นได้อย่างไร? มันจะเป็นความดีไปได้อย่างไร? แต่มันเป็นความดีของใคร? ความดีของกิเลสไง ความดีของหอกข้างแคร่ไง มันทิ่มตำหัวใจไง
เวลามันทิ่มตำหัวใจ เพราะมันเสื่อมขึ้นมา มันทิ่มใจขึ้นมา มันทิ่มตำนี่หอกข้างแคร่ไม่ใช่ความจริง แต่ความจริงทิ้งมัน! สิ่งใดที่ยึดถือทิฐิมานะทิ้งมันให้หมดเลย แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมานี่ โอ๋ย.. โล่งสบายมาก สิ่งที่โล่งสบายมากมันก็รู้ของมัน เห็นไหม อ๋อ.. เราโง่เอง เราไปหยิบของมันเอง เราไปยึดตรงนี้เอง เราถึงไม่เข้าใจของเราเอง ถ้าเราเข้าใจแล้วมันจบสิ้น นี่อาหารของใจ
อาหารของกายนะเราต้องตั้งใจของเรา โลกเป็นโลกอย่างนั้นนะ เราอยู่กับเขา แล้วถ้าเราตื่นโลกนะเราจะตายเปล่า เกิดมาเราก็ตายไปตามโลกนั่นแหละ มีสมบัติขนาดไหนนะก็เป็นมรดกตกทอดให้คนอื่น แล้วเราก็ตายไป สมบัติเราไม่ได้ไป แต่ถ้าเราทำของเรานะ สมบัติของเรานะ ใครจะรู้หรือไม่รู้ อยู่ในป่าเรามีความสุข เราตายเรารู้เลย เราพร้อมไป เราออกจากร่างไป จิตเราออกจากร่าง จิตมันพร้อมตลอดเวลามันจะไปตื่นเต้นกับอะไร?
แต่ถ้าคนไม่เตรียมตัวไว้เลย เวลาตาย ตายไปด้วยความดิ้นรน ตายไปด้วยความพลัดพราก ตายไปด้วยความยึดมั่น ตายไปด้วยความผูกพัน เห็นไหม ความผูกพันนั่นก็ยังไม่ได้ทำ นู่นก็เป็นห่วงเป็นใยเขาไปหมดเลย แต่ถ้าเราฝึกของเราไว้นะ ตายมันพร้อมจะตาย มันไปของมัน นี่สมบัติส่วนตน
สมบัติโลกหาไว้แล้วเป็นเรื่องของโลก สมบัติของเราต้องหาขึ้นมา นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายในจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง